สารบัญ
- บทนำ
- ตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลันคืออะไร?
- 5 สัญญาณเตือนภัยของตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลัน
- ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี: ต่างกันอย่างไร?
- การป้องกันและติดตามอาการสำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซี
- อย่าชะล่าใจ! บางคนอาจไม่รู้ตัวว่าเป็น
- Q&A
บทนำ
กรณีของพิธีกรชื่อดัง “เสิ่น อวี้หลิน” ที่เข้ารับการรักษาในห้องไอซียูจากอาการต้องสงสัยว่าเป็น “ตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลัน” ได้สร้างความตกใจให้กับสาธารณชนอย่างกว้างขวาง KUBET โดยมีรายงานว่าเขาเป็นผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีมาก่อนแล้ว
หัวข้อ | รายละเอียด |
---|---|
บุคคล | เสิ่น อวี้หลิน (พิธีกรชื่อดัง) |
อาการ | ต้องสงสัยว่าเป็น “ตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลัน” |
การรักษา | เข้ารับการรักษาในห้องไอซียู (ICU) |
ประวัติสุขภาพเดิม | เคยเป็นผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน |
ผลกระทบต่อสาธารณชน | สร้างความตกใจและห่วงใยจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง |
ข้อควรระวัง (ทั่วไป) | ผู้มีประวัติโรคตับควรตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายตับ |
ตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลันคืออะไร?
ข้อมูลจากสมาคมส่งเสริมการรักษาโรคตับไต้หวันระบุว่า ตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลัน หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า “ภาวะตับวายเฉียบพลัน” (Acute Liver Failure) KUBET คือภาวะที่เซลล์ตับเสียหายหรือตายจำนวนมากอย่างกะทันหัน KUBET ส่งผลให้ความสามารถในการขจัดสารพิษ การเผาผลาญ และการสร้างสารต่างๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที KUBET อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 80% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในบรรดาโรคตับอักเสบทั้งหมด
5 สัญญาณเตือนภัยของตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลัน
นายแพทย์หลิว เผิงฉือ รองผู้อำนวยการฝ่ายเวชศาสตร์ป้องกัน KUBET โรงพยาบาลซินกวง กล่าวว่า ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซีเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงของโรคนี้ KUBET และยังมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น:
- การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
- การสูบบุหรี่
- การบริโภคอาหารหมักดอง
- การใช้สมุนไพรจีนหรือยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์:
- คลื่นไส้
- เบื่ออาหาร
- เหนื่อยล้าเรื้อรังโดยไม่รู้สึกง่วง
- ผิวหนังหรือดวงตาเริ่มเหลือง
- ปัสสาวะมีสีเข้มเหมือนน้ำชาเข้มหรือสีโคล่า
ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี: ต่างกันอย่างไร?
KUBET หากสาเหตุของโรคตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลันเกิดจากไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) มักเกี่ยวข้องกับอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด KUBET อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 0.2% แต่กรณีของไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และซี (HCV) ซึ่งเป็นไวรัสเรื้อรัง KUBET อาจพัฒนาไปสู่ตับอักเสบเฉียบพลันได้หากมีปัจจัยกระตุ้น

การป้องกันและติดตามอาการสำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซี
นายแพทย์หลิวเน้นว่า ผู้ป่วยควรมีการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ:
ตรวจค่าการทำงานของตับ (Liver Function Test) และค่า AFP (Alpha-fetoprotein) ทุก 6 เดือน
ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
หากมีอาการตับแข็งหรือตับอักเสบเรื้อรัง ควรตรวจอัลตราซาวนด์ทุก 6 เดือน
อย่าชะล่าใจ! บางคนอาจไม่รู้ตัวว่าเป็น
โรคนี้ในบางกรณีไม่มีอาการชัดเจน ผู้ป่วยอาจรู้สึกแค่คลื่นไส้หรือเหนื่อยล้าโดยไม่ง่วงนอน บางรายอาจเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย KUBET เช่น ผิวหรือตาเหลือง หากปัสสาวะมีสีเข้มมากผิดปกติ นั่นคือสัญญาณของภาวะดีซ่าน KUBET ควรรีบพบแพทย์ทันที
Q&A
1. ตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลัน (Acute Liver Failure) คืออะไร?
ตอบ: เป็นภาวะที่เซลล์ตับเสียหายหรือตายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตับทำหน้าที่ขจัดสารพิษ เผาผลาญ และสร้างสารต่าง ๆ ลดลงอย่างมาก หากไม่รักษาทันท่วงที อัตราการเสียชีวิตสูงถึง 80%
2. อาการเตือน 5 ข้อที่ควรระวังสำหรับตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลันมีอะไรบ้าง?
ตอบ:
คลื่นไส้
เบื่ออาหาร
เหนื่อยล้าเรื้อรังแต่ไม่ง่วงนอน
ผิวหนังหรือดวงตาเหลือง
ปัสสาวะมีสีเข้มเหมือนน้ำชาเข้มหรือโคล่า
3. กลุ่มคนใดที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคตับอักเสบชนิดรุนแรงเฉียบพลัน?
ตอบ: ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซี รวมถึงผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์หนัก สูบบุหรี่ รับประทานอาหารหมักดอง หรือใช้สมุนไพรจีนที่ไม่ได้มาตรฐาน
4. ความแตกต่างระหว่างไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี คืออะไร?
ตอบ:
ไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) มักเกิดจากอาหารหรือน้ำไม่สะอาด และมีอัตราการเสียชีวิตต่ำประมาณ 0.2%
ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และซี (HCV) เป็นไวรัสเรื้อรัง อาจพัฒนาเป็นตับอักเสบเฉียบพลันหากมีปัจจัยกระตุ้น
5. ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซีควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อติดตามและป้องกันโรค?
ตอบ: ควรตรวจค่าการทำงานของตับและค่า AFP ทุก 6 เดือน ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และถ้ามีอาการตับแข็งหรือตับอักเสบเรื้อรัง ควรตรวจอัลตราซาวนด์ทุก 6 เดือนเพื่อเฝ้าระวัง
เนื้อหาที่น่าสนใจ: